นิสิต มศว กับช่วงเวลา ทำความรู้จักในที่ที่เราอยู่
เรื่องโดย....ฮักก้า
::
thinksea@hotmail.com
เคยผ่านไปแถว อ.องครักษ์.นครนายกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งไปแบบคนเบลอๆ ไม่ช่างสงสัยใคร่รู้ว่า อำเภอๆนี้ ชื่อมันหมายความว่าอย่างไร และมีอะไรน่าสนใจ
แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้รับคำชวนจาก ฝ่ายพัฒนาศักยภาพนิสิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว) ไปร่วมโครงการศึกษาสัญจร พี่พาน้องท่องวัฒนธรรม ละแวกจังหวัดนครนายกและปราจีนบุรี จึงเสมือนว่าได้เผยใจเบลอๆให้ได้รับรู้อะไรมากกว่าที่เคยรู้ วัดวาอารามตึกเก่า สิ่งของเก่าเก็บ ฯลฯ กลายเป็นความแปลกใหม่ขึ้นมาในสายตา
ฉันชอบที่อาจารย์ผู้นำคณะนิสิต ไปท่องวัฒนธรรมในครั้งนี้บอกว่า อยากให้ทุกคนได้ทำความรู้จักในที่ที่ตัวเองอยู่ให้มากขึ้น
บางคนคงรู้ว่า มศว. ไม่มีแค่วิทยาเขต เพียงแค่ที่ประสานมิตร แต่เป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่ มศว.มีวิทยาเขตที่ อ.องครักษ์ด้วย ดังนั้น ทำความรู้จักในที่ที่ตัวเองอยู่ อาจารย์ท่านก็คงพยายามจะสื่อสารกับนิสิต ให้เปิดใจเรียนรู้อะไรให้มากกว่าโลกในห้องเรียน แต่ควรสัมพันธ์กับถิ่นที่อยู่ และชุมชนโดยรอบของตัวเองด้วย
หากจะหมายถึงแค่การศึกษา ชุมชนหรือท่องถิ่นที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน ว่าไหม ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านเหล้า ตึกแถว บ้านจัดสรรฯลฯ ที่ไหนก็คงมีให้นิสิตได้ศึกษาได้เหมือนๆกัน เพราะมันคือความเป็นปัจจุบัน ที่รับรู้โดยวิถีชีวิตที่กำลังเป็นอยู่ จนชินตาชินใจอยู่แล้ว
ขณะที่บรรดาของเก่าเก็บ โบราณสถาน วัดวาอาราม สถานที่สำคัญๆ ของแต่ละท้องถิ่น หากเราไม่มองว่ามันเป็นอะไรที่น่าเบื่อไปก่อน และหันกลับไปทำความรู้จักกับมัน ผ่านกิจกรรมที่ชวนให้เพลิดเพลินมากกว่าการยัดเยียดความรู้ที่เป็นวิชาการเกินไป สิ่งของที่อยู่มายืนยาวกว่าชีวิตเราหลายร้อยปี ก็จะดูสดใหม่ ต่อความสนใจของพวกเขาได้ไม่น้อย
มองดูน้องๆนิสิตแล้ว เหมือนฉันได้หันกลับไปมองตัวเองเมื่อหลายปีผ่านมา ก็คงเหมือนๆพวกเขา ที่บางทีก็เคยรู้สึกเบื่อบ้าง สนุกบ้าง ยามที่ร่วมเป็นหนึ่งในคณะเดินทางไปทัศนาสถานที่สำคัญๆในวาระพิเศษ
การไปครั้งนี้ มหาวิทยาลัยออกทุนให้นักศึกษาได้ไปกันฟรี เพราะอยากให้นิสิตมีกิจกรรมทำกัน เสร็จกิจกรรมก็จะได้ตราประทับการเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อใช้ในการประเมิน ในฐานะที่นิสิตทุกคนต้องมีกิจกรรมทำระหว่างเรียน ตามกฎระเบียบของสถาบัน ขณะที่เพื่อนๆของพวกเขา คนอื่นๆ อาจไปร่วมกับกิจกรรมอื่นในวาระอื่น ที่มีเกิดขึ้นมากมายในสถาบัน ไม่จำเป็นต้องเป็นกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมเช่นครั้งนี้
จุดเรียนรู้เริ่มต้นของน้องๆ เริ่มต้นที่ ศาลเจ้าพ่อองครักษ์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่ออำเภอองค์รักษ์ มีเล่ากันมาว่า ครั้งที่พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้นผ่านมาตามลำน้ำนครนายก และได้ประทับแรมบริเวณที่ตั้งศาลเจ้าพ่อฯ นายทหารองครักษ์ท่านหนึ่งได้เสียชีวิตลง พระองค์จึงโปรดให้สร้างศาลขึ้นเป็นอนุสรณ์ .... เพียงแค่เริ่มต้น พวกน้องๆนิสิตก็เรียนรู้ถึงชื่อที่มาของสถานที่ที่พวกตนอยู่แล้ว
ต่อจากนั้นก็ถึงคราวพาตัวพาใจไปเข้าวัด ที่ตำบลสาริกา ในเขตอำเภอเมือง ที่วัดพัฒนาตัวอย่าง วัดพราหมณี ที่ต้อนรับผู้ไปเยือนด้วยรูปประติมากรรมรูปสัตว์ต่าง ตั้งแต่หน้าประตูวัดเลยทีเดียว การต้อนรับด้วยน้ำจิตน้ำใจอันงดงามจากท่านเจ้าอาวาส พระครูโสภณพรหมคุณ(หลวงพ่อตึ๋ง)และคณะ บวกกับการที่วัดเป็นสถานที่ที่มีอนุสรณ์สถานสำคัญในหลายด้านด้วย วัดนี้จึงไม่ได้มีค่าแค่การที่ผู้คนได้ไปสงบใจทำบุญตักบาตร แต่ได้ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัวไปพร้อมกัน
ที่ เมืองโบราณศรีมโหสถ เมืองโบราณขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่ภายในมีโบราณสุถานร้อยกว่าแห่งกระจายอยู่โดยรอบ เวลาคงน้อยไปสำหรับการที่จะให้น้องๆนิสิตทำความรู้จักกับหลายๆสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ก็คงกระตุ้นให้หลายๆคนกลับไปทำความรู้จักใหม่อีกครั้งเมื่อมีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นสระแก้ว ฝายทดน้ำโบราณ สระมรกต รอยพระพุทธบาทคู่ โบราณสถานพานหิน ฯลฯ และวัตถุโบราณ อย่างเช่น กรอบคันฉ่อง หอยสังข์ ขัน เทวรูป ศิวลึงค์ ฯลฯ
ทริป พี่พาน้องท่องวัฒนธรรม ที่มีระยะท่องเพียง 1 วัน มาจบลงที่ตึกเก่า เจ้าพระยาอภัยภูเบศร หรือ ชุ่ม อภัยวงศ์ เจ้าพระยาผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง และต่อมาได้รับราชทินนามจากพระพุทธเจ้าหลวงว่า เจ้าพระยาอภัยภูเบศร
กระแสสุขภาพและความมีชื่อเสียงด้านแพทย์แผนไทย ทำให้ตึกแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกับโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ณ ปัจจุบัน คนที่ชอบศึกษาดูความงามของสถาปัตยกรรมโบราณ ก็น่าที่จะสนใจไปยลตึก เจ้าพระยาอภัยภูเบศร นี้ ได้เหมือนกัน ซึ่งออกแบบโดย นายโอวาร์ เฮอร์สกิน รูปทรงคล้ายกับอาคารหลังเดิมที่พระตะบอง ประเทศกัมพูชา
เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้น มีลวดลายประดับ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2452 เพื่อใช้เป็นที่ประทับของ รัชกาลที่ 5 แต่พระองค์ทรงเสด็จสวรรคตเสียก่อน ใน ปี พ.ศ. 2451 จึงใช้เป็นที่ประทับแรมของรัชกาลที่ 6 และบรมวงศานุวงศ์อีกหลายพระองค์เมื่อครั้งเสด็จประพาสมณฑลปราจีนบุรี
เป็นทริปท่องวัฒนธรรมที่ไม่เปล่าประโยชน์หากแต่น่าจะเป็นตัวแทนป่าวประกาศให้สถาบันอื่นลองจัดกิจกรรมแบบนี้ขึ้นบ้าง แต่จะรูปแบบไหนและลงตัวแบบใดค่อยว่ากันอีกที.. ที่สำคัญอย่าให้น่าเบื่อ
|