วิหารของเราเอง
เรื่องโดย....ฮักก้า
::
thinksea@hotmail.com
"นักดนตรี" ประติมากรรมของ เขียน ยิ้มศิริ
เห็นด้วยกันไหมว่าร่างกายของเรานั้นก็เปรียบได้กับงานประติมากรรมชิ้นหนึ่ง
ขณะที่ศิลปินบางคนอาจกำลังสลักเสลารูปปั้นของตัวเองอยู่ จะด้วยเทคนิคใดๆก็ตามที เวลานี้ฉันเองก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังกระทำกับร่างกายของตัวเองไม่ต่างจากนั้น
อย่าเพิ่งคิดว่าฉันเอง ได้พึ่งพาวิธีที่จะทำให้ตัวเอง สวยด้วยแพทย์ เชียวนะคะ เพราะถ้าคิดแบบนั้น ฉันคงต้องหมดเงินไปกับการทำศัลยกรรมทั้งตัวเลยทีเดียว
นอกจากจะไม่มีเงินพอแล้ว ก็คงไม่มีมีดหมอคนไหน ทำให้ดิฉันกลายร่างจากโดเรมีตัวอ้วนกลม เป็นบาร์บี้หุ่นสลิมขึ้นมาได้
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ฉันก็รักร่างกายนี้ของฉันเหลือเกิน
ยามที่เส้นผมบางเส้นร่วงหลุดจากศรีษะ ยามนิ้วสักนิ้วเผลอไปโดนมีดเฉือน หรือวันเวลาได้พรากเอาความชุ่มชื้นใต้ผิวหนังออกไป
เสียใจได้ไม่ต่างจากประติมากรบางคนที่กำลังเพ่งมองประติมากรรมบางชิ้นของตัวเองสึกกร่อนไปตามเดือนปี
เรื่องห่วงสวย (เพราะยังไม่เคยสวย) นั้นอีกเรื่องหนึ่ง ละไว้ในฐานที่รู้สึกร่วมกันได้ระหว่างผู้หญิงๆ ด้วยกัน
แต่เป็นเพราะว่าฉันจินตนาการไปว่า กำลังมองเห็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของฉันกำลังทรุด
วิหารที่ไม่มีใครสามารถบูรณะปฏิสังขรณ์ได้นอกจากตัวเองเท่านั้น
ใครหลายคนอาจจะก่นด่าออกมาได้ ว่าเหตุใดฉันจึงบังอาจ เอาร่างอันบรรจุด้วยเลือดเนื้อธรรมดานี้ ไปเทียบเทียมกับวิหาร ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอันสูงค่า
ใช่ค่ะ ร่างกายกับวิหารเป็นคนละเรื่องกัน แต่ถ้าเรามองให้ลึกซึ้ง มองอีกมุม ไม่เกี่ยวกับว่า อะไรสูงค่ากว่าอะไร
เราก็จะมองเห็นว่าร่างกายของเรานี้เทียบเทียมวิหารได้
มีคนเคยบอกกับฉันว่า เราจักต้องรักษาดูแลร่างกายของเราให้ดี เพราะร่างกายนั้นคือที่สิงสถิตของจิตวิญาณของเราเอง
เมื่อร่างกายคือวิหาร วิหารมีสิ่งสูงค่าสถิตอยู่ เช่นนั้นร่างกายก็มีสิ่งที่เรียกว่า ความดี และ จิตวิญญาณ สถิตอยู่
ฉันชื่นชมประติมากร ที่พวกเขาได้ปั้นความดีบางอย่างให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น ให้เราได้ใช้เวลาที่จะเรียนรู้และสื่อสารกับความดีนั้นว่ามันคืออะไร งามอย่างไร
แต่ชีวิตนี้ฉันคงเป็นประติมากรที่ดีไม่ได้ และชาตินี้ก็คงไม่มีแรงบันดาลใจและพลังเพียงพอที่จะสร้างวิหาร
มีสิ่งหนึ่งที่ทำได้คือ ดูแลวิหารของตัวเราเองให้ดี ที่ซึ่งความดี และสิ่งสูงค่า อาจหนีหายไปได้ทุกเมื่อ ถ้าใจเราเผลอ ควบคุมมันไม่เป็น
ถ้าไม่เช่นนั้น ร่างกายนี้จะเปรียบเทียบกับวิหาร หรืองานประติมากรรมดีๆสักชิ้นได้อย่างไร
ก็คงเป็นได้แค่อาคารร้างตะใคร่จับ บนถนนฝุ่นตลบ หรือไม่ก็เป็นแค่เพียงซากอิฐที่ถูกทุบทิ้งเท่านั้นว่าไหม
ฉันเคยไปดูงานแสดงศิลปะของศิลปิน ชื่อ สุวรรณ ลัยมณี เขาไม่ได้สร้างงานประติมากรรมเช่นคนทั่วไป แต่เขาสร้างงานประติมากรรมชีวิต
ใครหลายคนอาจค้านว่า ประติมากรรมหรืองานศิลปะนั้นน่าจะเห็นเป็นสิ่งของ เป็นรูปธรรมชัดเจน แต่อย่าลืมนะคะว่า ศิลปะอาจคือวิธีคิด หรือการส่งผ่านความเชื่อบางอย่างออกมาให้เราสัมผัส โดยวิธีการสร้างสรรค์อื่นใดได้
สุวรรณเป็นคนไทยคนแรกที่ทำงานศิลปะโดยใช้การนวด คนที่ถูกเขานวดนั้นก็คืองานประติมากรรมของเขา 7 ปี ที่เขาตระเวนทำงานศิลปะลักษณะนี้ ในพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และสถานที่สำคัญทางศิลปะในยุโรป
ลักขณา คุณาวิชยานนท์ เคยวิจารณ์การทำงานศิลปะเช่นนี้ของเขาว่า เป็นเพราะเขาสนใจในการปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นโดยการสัมผัสระหว่างผู้คน โดยปราศจากการปรุงแต่ง
เป็นการสัมผัสปัจจุบันทันที ตัดการใช้วัสดุมาเป็นการสื่อสารแสดงออกอีกต่อไป แต่เน้นที่การเพ่งพินิจกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองเดี๋ยวนั้น
แนวคิดนี้สัมพันธ์กับปรัชญาทางพุทธศาสนา จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม อาจจะถือได้ว่าเป็นความพยายามที่จะใช้ศิลปะเพื่อการเข้าถึงธาตุแท้ของตัวตนและจิตวิญญาณอย่างหนึ่ง รวมไปถึงความสัมพันธ์อันดีของผู้คนในสังคม
ในเชิงพัฒนาการทางศิลปะก็ถือได้ว่า เป็นความพยายามของศิลปินที่จะวิวัฒน์ให้เกิดวิธีการสื่อสาร หรือภาษาในการแสดงออกทางความคิดและศิลปะแบบอื่นๆ ที่พ้นไปจากการสร้างงานที่เป็นวัตถุเพื่อนำไปติดผนังบ้าน แล้วแยกผู้คนให้อยู่ในบ้านของตัวเอง โดยขาดปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
และสิ่งนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำ ให้ฉันเชื่อว่า ตัวเรานั้นสามารถสร้างงานศิลปะ สร้างงานประติมากรรม สร้างวิหาร ในแบบของเราเองได้
อยู่ที่ว่าเรามีเหตุผลเพียงพอในการสื่อสารมันออกมา เป็นความเชื่อที่มีความดีบางอย่างจุดประกายให้เกิด
|