ครั้นถึงกลอนคำสุดท้าย
อันเรียกว่า "ลง" เพลงหุ่นก็มี "ทางลง"
อีกหลายทาง เช่น ลงโอด ลงเชิด ลงเจรจา
ลงตลก ซึ่งเมื่อต้นเสียงทอดจะลงใกล้ท้ายคำอยู่แล้ว
พวกลูกคู่ก็จะต้องคอยรับให้แน่นหนาพร้อมเพรียงทันท่วงทีจึงจะไพเราะหากลูกคู่รับบ้างไม่รับบ้างหรือความรู้ความสามารถไม่ทัดเทียมกัน
รับกันไปคนละทางสองทางกระพร่องกระแพร่ง
เพลงหุ่นนั้นๆก็จะไม่เป็นรสชาติอันใดเลย
ในการร้องเพลงหุ่น เครื่องดนตรีจำเพาะก็มี
ซออู้สีเคล้าไปตลอด ประกอบจังหวะด้วยกลอง
ต๊อก แต๋ว ฉิ่ง กรับ เท่านั้น
เครื่องดนตรีอื่นหยุดบรรเลงหมด ต่อเมื่อจะลง
เช่น ลงโอด หรือลงเชิด ปี่พาทย์ก็จะคอยทำเพลงโอด
หรือเพลงเชิดต่อท้ายไปตามเพลง แต่ก่อนผู้เชิดหุ่นที่เป็นสตรี
มักจะร้องเพลงหุ่นไปด้วยพร้อม ๆ กันกับการเชิด
เช่น แม่ครูเคลือบ แม่มิ่ง (ภรรยาของนายเปียก
ประเสริฐกุล) และคุณครูชื้น สกุลแก้ว
(บุตรีนายเปียก) โดยมีลูกคู่คอยรับ
แต่เข้าใจว่าผู้เชิดคงจะร้องแต่เพลงที่เป็นเพลงหุ่นส่วนเพลงละคร
เช่นเพลงช้าปี่ หรือเพลงร่ายจะมีต้นเสียงสตรีอีกต่างหากเป็นคนร้องและมีลูกคู่คอยรับไม่ปรากฏว่าในการเล่นหุ่นกระบอกแต่ก่อนจะมีผู้ขับร้องชายเป็นต้นเสียง
ทั้งเพลงหุ่นและเพลงละครใช้ผู้หญิงร้องทั้งนั้น
ลูกคู่ก็ใช้ผู้หญิง และตีกรับไปด้วยในตัวเสร็จหากเล่นกันสนุกสนานถึงอกถึงใจ
ก็จะช่วยกันร้องรับลูกคู่ทั้งหญิงชายได้ทั้งโรงด้วยความสามัคคีปรองดอง
มิใช่ต้นเสียงร้องเองรับเองอยู่คนเดียว
ในเรื่องเพลงหุ่นนี้ มีข้อที่ยังไม่อาจยืนยันได้เป็นข้อยุติด้วยคนทั่วไปมักเข้าใจว่า
"เพลงหุ่น" และ
"เพลงสังขารา"
เป็นเพลงเพลงเดียวกัน แต่นักดนตรีและผู้ขับร้องอาวุโสหลายท่านต่างอธิบายว่า
"เพลงหุ่นกับเพลงลังขาราเป็นคนละเพลงกัน
ถึงแม้จะเป็นเพลงที่เคล้าซออู้ และใช้ประกอบในการแสดงหุ่นกระบอก
(หรือบางครั้งละคร) เหมือน ๆ กัน
แต่เพลงสังขารามีทำนองแตกต่างออกไปจากเพลงหุ่นอีกทางหนึ่งเป็นคนละเพลง
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ขับร้องและนักดนตรี
การพากย์หุ่นนอกจากผู้เชิดจะร้องเพลงหุ่นเองแล้วยังจะพูดบทเจรจาต่าง
ๆ แทนตัวหุ่นที่ตนกำลังเชิดอยู่อีกด้วยโดยไม่ต้องมีคนคอยพากย์แทน
หากหุ่นตัวพระที่คนเชิดเป็นผู้หญิงก็จะพูดด้วยเสียงตนเชิดที่เป็นผู้หญิงนั้นเองดุจเดียวกับละครรำแต่ก่อน
ที่ใช้ผู้หญิงแสดงเป็นตัวพระเอก
จึงไม่ขัดหูขัดตาแต่ประการใด เว้นแต่ผู้เชิดที่เป็นผู้ชายมาจับเชิดหุ่นตัวนางพอถึงบทเจรจา
ก็จะใช้ผู้หญิงพูดแทนเป็นตอน ๆ
ไป ยกเว้น "นายเผื่อน" ผู้เป็นหลานนายเปียก
ประเสริฐกุล และเป็นผู้เชิดหุ่นในคณะนายเปียกในสมัยแรก
ๆ เล่ากันว่าสามารถเชิดตัวนาง
และตัวพราหมณ์เกสรได้ชดช้อยงดงามมาก
และยังสามารถดัดเสียงพูดบทเจรจาให้เป็นเสียงของตัวนางได้อีกด้วยในสมัยปัจจุบัน
ก็มีหุ่นคณะชูเชิดชำนาญศิลป
แห่งอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามของคุณครูวงษ์
รวมสุข ซึ่งเชิดและพากย์ตัวนางผีเสื้อสมุทรด้วยตัวเอง
นางผีเสื้อคณะชูเชิดชำนาญศิลป
จึงมีเสียงเป็นผู้ชายเช่นเดียวกับหุ่นคณะรอดศิริ
นิลศิลป ของนายบุญรอด ประกอบนิล
ที่เจ้าของคณะคือนายบุญรอด เชิดและพากย์หุ่นตัวนางผีเสื้อสมุทรด้วยตนเอง
นางผีเสื้อคณะรอดศิริฯจึงมีเสียงเป็นผู้ชายเช่นเดียวกัน
ตลกหุ่น ที่มา
: "หุ่นไทย" โดย อาจารย์
จักรพันธุ์ โปษยกฤต
Copyright © 2000 ANURAKTHAI.COM All Right reserved
"จะกล่าวกลับจับความไปตามเรื่อง
ถึงบาทเบื้องปรเมศพระเชษฐา
องค์อภัยมณีศรีโสภา
ตกยากอยู่คูหามาช้านาน
กับด้วยนางอสุรีนีรมิต
เป็นบ่ชิดเชยชมสมสมาน
ต้องรักใคร่กันไปตามยามกันดาร
จนนางมารเกิดบุตรบุรุษชาย ฯ"
เมื่อซออู้นำ และผู้ขับร้องเอื้อนก่อนจะเอ่ยกลอนแรกนั้นเรียกกันว่า
"ร้องท้าว"การร้องท้าวนี้มีแตกแยกทางออกไปบ้างแล้วแต่ละสกุลช่าง
แต่ก็จะอยู่ในครรลองเดียวกันเพื่อจะทอดไปสู่เนื้อความที่จะเริ่มกล่าวต่อไปทำนองเพลงร้องหุ่นกระบอกนี้
มีอยู่หลายทาง ทั้งในระหว่างบทกลอนที่เป็นเนื้อร้องก็ล้วนแต่มีจังหวะและช่องทางที่จะให้ผู้ร้องใส่ลูกเล่นเอื้อนเอ่ยไปได้ต่าง
ๆ สุดแต่ความสามารถและไหวพริบปฏิภาณของผู้ร้องที่จะดูว่าบทบาทตอนนี้ควรจะร้องเอื้อนเอ่ยให้ไปในทางใด
โกรธเกรี้ยว เศร้าสร้อย หรือว่าฮึกเหิมสนุกสนาน
หากกำลังตกระกำลำเค็ญถึงที่สุด
เช่นเมื่อพราหมณ์เกสรกำลังจะถูกนำไปฆ่า
ก็จะมีการร้องเพลงหุ่นอีกทางหนึ่งเรียกว่า
"ร้องครวญ"
ตลกหุ่นดูเหมือนจะเป็นหัวใจของการแสดงหุ่นกระบอกที่ขาดไม่ได้
เพราะการแสดงตลกเป็นการแสดงที่จะต้องมีอยู่ในนาฏกรรมของไทยแทบทุกชนิด
เช่น โขน หนังใหญ่ ละคร และลิเก
เนื่องด้วยเป็นอุปนิสัยของคนไทยโดยทั่วไปที่ชอบตลกโปกฮา
อุดมด้วยอารมณ์ขันอยู่แล้วเป็นปกติ
การเล่นตลกของหุ่นกระบอก มักยึดแนวของการเล่นของพวกจำอวดและสวดคฤหัสถ์เป็นครู
เพราะนักสวดและจำอวดได้จัดวางแนวทางเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว
คือการจัดวางตำแหน่งของตัวบุคคลไว้
ตำแหน่ง ตามความจัดเจนของแต่ละบุคคล
ทั้งนี้เพื่อมิให้เกิดการ"ปีนเกลียว"กัน
หรือเล่น"ลอยดอก"จนออกนอกลู่นอกทางและนอกเรื่องจนเกินควร
จนหาทางวกลงไม่ได้ อย่างที่เรียกว่า
"พาช้า" คือพาให้เรื่องช้าไปอย่างไม่เข้าเรื่องตำแหน่งบุคคลทั้ง
มีดังนี้
๑. ตัวตุ๊ย คือหน้าที่เล่นตลกโดยตรง
ต้องมีปฏิภาณฉับไวในการตอบการแก้ที่หลักแหลมมีมุขตลกที่ทันเหตุการณ์ไม่ฝืดเฝือ
ตัวตุ๊ยนี้ ถือเป็นตัวหลัก ขาดไม่ได้และมีมากไม่เกิน
๑ ตัว
๒. ตัวภาษา ทำหน้าที่เล่นตลกชิงไหวชิงพริบคู่กันไปกับตัวตุ๊ย
โดยมากนิยมออกเป็นตัวนาง
๓. ตัวแม่คู่ ในการเล่นหุ่นกระบอก
ก็มักได้แก่หุ่นตัวเอกหรือเจ้านาย
เช่น นางยี่สุ่น นางผีเสื้อสมุทร
หรือตาฤาษี ต้องฉลาดที่จะใช้มุขปูทางตลอด
เพื่อให้ตัวตุ๊ย และตัวภาษาออกดอกออกก้านกลเม็ดตลกต่างๆได้
และทำหน้าที่คอยดึงให้เข้าเรื่องเพื่อไม่ให้เล่นตลกออกไปนอกทาง
นางผีเสื้อสมุทร หรือตาฤาษี ต้องฉลาดที่จะตั้งมุขปูทางตลอดจนซักไซ้เพื่อให้ตัวตุ๊ยและตัวภาษาออกดอกออกก้านกลเม็ดตลกต่างๆ
ได้ และทำหน้าที่คอยดึงให้เข้าเรื่องเพื่อไม่ให้เล่นตลกออกไปนอกทาง
๔. คอสอง ทำหน้าที่คอยช่วยแม่คู่
หรือคอยประสานคอยซักหรือยกสุภาษิตต่าง
ๆ ตัวคอสองนี้ช่วยให้การเล่นตลกมีชีวิตชีวาขึ้น
สำหรับการเล่นตลกนี้บางคณะก็เล่นสอดแทรกไปเกือบทุกตอนของเรื่อง
แต่ที่ควรแล้วควรจัดให้อยู่ในตอนใดตอนหนึ่งของเรื่องที่มีจังหวะเหมาะสมจะเล่นได้
เพราะการเล่นตลกพร่ำเพรื่อทำให้อรรถรสอื่น
ๆ เสียไปดูจุ้นจ้านน่ารำคาญ
"ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน
พออยู่ไปนานๆน้ำล้างหัวล้านก็ว่าขม"
หรือ
"แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย
มีผัวเป็นกะเทยจะดีกว่า"