การบูชาครูก่อนการแสดงหุ่น
แล้วจึงชุมนุมเทวดา
ตัวตลกเหล่านี้
แม้เป็นเพียงตัวตลกมิใช่ตัวเอก
แต่ก็ถือว่าเป็นตัวครูทั้งสิ้น แต่ก่อนหัวหุ่นและตัวหุ่นจะแยกกันเก็บ
ต่อเมื่อรับงานจะแสดงจึงจะแต่งตัว
ถือกันว่าหัวยักษ์ หัวลิง จะต้องแยกกันเก็บเสมอไม่ปะปนกัน
หรือไม่ก็มีหัวพ่อแก่คั่นกลาง ส่วนพวกหัวพระหัวนางไว้อกทางหนึ่ง
หัวพวกตัวตลกอีกทางหนึ่ง ต่อมาสมัยหลังประเพณีนี้ไม่ถือกันเคร่งครัดแล้วคงวางปะปนกันตามสบาย
อีกประการหนึ่งเรื่องราวที่ใช้แสดงหุ่นกระบอก
ถือกันนักหนาว่าตัวเอกจะไม่มีการตายในตอนจบ
อันถือว่าเป็นการตายคาโรง หรือ "ล้มทับโรง"
เช่น เรื่องลักษณวงศ์ตอนฆ่าพราหมณ์
ที่นิยมเล่นกันเป็นหุ่นกระบอก เมื่อพราหมณ์เกสรถูกตัดคอแล้ว
จะไม่มีคณะใดยอมจบในตอนนั้น แต่จะแสดงต่อจนถึงพระพรหมเหาะมานำศพพราหมณ์เกสรขึ้นไปชุบให้ฟื้นบนสวรรค์วิมานจึงจะจบการแสดง
ความเชื่ออันนี้ มิใช่ถือกันแต่การแสดงหุ่นกระบอกเท่านั้น
แต่รวมไปถึงการแสดงโขน ละคร ลิเก และมหรสพเกือบทุกชนิด
ด้วยถือว่าไม่เป็นสิริมงคลแก่ผู้แสดงหนึ่ง
และเป็นอัปมงคลแก่เจ้าภาพผู้หางานไปแสดงอีกหนึ่ง
แต่อีกนัยหนึ่งถือกันว่าหากคณะใดให้ตัวเอกของเรื่องล้มทับโรงเสียแล้วก็เท่ากับเป็นการ
"ตัดทาง" ของคณะอื่นที่จะแสดงต่อไปในเรื่องเดียวกันให้อับเฉาไปโดยปริยายเนื่องจากตัวเอกได้
"ตาย" เสียแล้ว หากคณะอื่นจะมาเล่นซ้ำในเรื่องเดิม
ก็จะไม่ได้รับความนิยมยินดีเท่าที่ควรจึงเป็นมารยาทของการแสดงที่จะเอื้อให้แก่ผู้ร่วมอาชีพ
อันถือเป็นประเพณีสืบมา
ที่มา
: "หุ่นไทย" โดย อาจารย์
จักรพันธุ์ โปษยกฤต
Copyright © 2000 ANURAKTHAI.COM All Right reserved
ก่อนการแสดงหุ่นกระบอกแต่ละครั้ง
ตัวหุ่นพระครูฤาษีและหุ่นทุกตัวที่จะแสดงในวันนั้นจะถูกตั้งเสียบแกนไม้ไว้ทางขวามือของประตูขวาที่หุ่นจะออกอันเป็นที่ตั้งหุ่นประจำเป็นประเพณีครูอาวุโสหรือผู้ที่จะเป็นผู้เชิดตัวนายโรงรำช้าปี่ไหว้ครูจะจุดธูปเทียนบูชาคุณพระรัตนตรัยเป็นอันดับแรก
ต่อจากนั้นก็จะสักการะเทพเจ้าอันถือว่าเป็นบรมครูแห่งศิลปะแห่งการแสดง
และวิชาดนตรีอันมี
๑. พระอิศวร
๒. พระนารายณ์
๓. พระครูฤาษีทั้ง ๕ องค์
ได้แก่ พระฤาษีนารอท
พระฤาษีนาไลย พระฤาษีตาไฟ
พระฤาษีตาวัว
พระฤาษีประไลยโกฎ
๔. พระพิฆเนศวร
๕. พระพิราบป่า
๖. พระครูทศกัณฐ์
๗. พระครูนายโรง
๘. พระครูเหน่ง
๙. พระแหน
๑. พระประโคนธรรพ (ท้าวธตรฎฐ์)
อันเป็นเทพเจ้าแห่งการดนตรี
ประโคนธรรพ แปลว่าผู้เป็นใหญ่แห่งคนธรรพ์
ถือว่าเป็นครูแห่งปี่พาทย์
๒. พระปัญจสีขร เป็นเทพเจ้าแห่งการดนตรี
ถือว่าเป็นครูเครื่องสาย
๓. พระวิสสุกรรม อันเป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิชาการช่างต่าง
ๆ ได้แก่ ช่างเขียน ช่างแกะ
ช่างหล่อ ช่างปั้น พระวิสสุกรรมนี้บางทีเรียกว่า
"พระเพชฉลูกรรม"
ครั้นตัวนายโรงจะออกรำช้าปี่ไหว้ครู
ผู้เชิดตัวนายโรงจะนำหุ่นตัวเอกมาบริกรรมอีกครั้งก่อนจะออกฉาก
ทั้งนี้เป็นคำบริกรรมเฉพาะบุคคล
สรุปว่าให้การแสดงเป็นที่ติดตาต้องใจแก่คนทั่วไป
และปราศจากอุปสรรคต่างๆ
แล้วปี่พาทย์จึงจะลงวา
ซออู้ - เสมอ - รัว แล้วร้องช้าปี่
เนื้อร้องเพลงช้าปี่
และปีนตลิ่งนอกอันใช้เป็นเพลงรำไหว้ครูหุ่นนี้
เชื่อกันว่าเป็นของเดิมที่
"ม.ร.ว.เถาะ"
เป็นผู้แต่งขึ้น และคณะหุ่นกระบอกอื่น
ๆ ทั้งที่ร่วมสมัยกับคุณเถาะและหลังจากคุณเถาะ
ต่างก็นิยมใช้เนื้อร้องบทนี้ทุกคณะ
บทร้องมีดังนี้
ร้องช้าปี่
"สิบนิ้วลูกจะยกขึ้นประนม
ขอถวายบังคมเหนือเกศี
ไหว้พระพุทธพระธรรมล้ำโลกีย์
โพยภัยอย่าได้มีมาบีฑา
ไหว้คุณบิดามารดร
ครูพักอักษรทุกแหลิงหล้า
ไหว้ทั้งฝูงเทพเทวา
ขอจงมาชูช่วยอำนวยชัย ฯ"
ร้องปีนตลิ่งนอก
"ทั้งตะวันนั้นก็ย่ำค่ำลงแล้ว
รักเจ้าสาลิกาแก้วจะนอนไหน
มานอนด้วยเสียกับพี่จะดีใจ
เหมือนดังได้ดอกฟ้าลงมาเชย
ชายชื่นรื่นรวยระทวยทอด
ใครจะกอดอิงแอบแนบเขนย
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย
ใครจะเชยชมชิดเมื่อนิทรา
ใครใครเขาก็มาด้วยกันหมด
แม่ดอกประดู่ชูรสไม่เห็นหน้า
ทั้งหญิงชายยัดเยียดเบียดกันมา
สัมมา สัมมา อย่าช้าที ฯ"
การบูชาครูของพวกดนตรีปี่พาทย์ก่อนการแสดงหุ่น
พิธีบูชาครู
พิธีบูชาครูนี้ต้องเตรียมเครื่องสังเวย
อันได้แก่
๑. มัจฉมังสาหาร ๖ สิ่ง
ได้แก่
หัวหมู
เป็ด
ไก่
ปูต้ม
กุ้งต้ม
ปลาแปะชะนึ่ง มัจฉมังสาหาร ๖
สิ่งนี้ รวมกันเป็น ๑
อย่าง
๒. เครื่องกระยาบวช อันได้แก่ของกินที่ปราศจากของสดคาว
อันได้แก่ เผือกต้ม มันเทศต้ม
กล้วยน้ำไท อ้อย มะพร้าวอ่อน
ถั่วเขียวถั่วเหลืองดิบ
งาดำงาขาวดิบ
๓.บายศรีปากชาม ๒ ที่
๔.ขนมต้มขาว ขนมต้มแดง
๕. ขนมหวาน ๗ หรือ ๙
อย่าง เช่น ขนมเล็บมือนาง
ทองหยิบ ทองหยอด
ฝอยทอง สังขยา ขนมชั้น
ขนมหูช้าง วุ้นกะทิ ฯลฯ
๖. ผลไม้อื่น ๆ
๗ หรือ ๙ อย่าง
๗. นม เนย
๘. ข้าวรำ ๓ ก้อน (ปรุงโดยนำข้าวหน้าหม้อมาปั้นด้วยมือให้เป็นก้อนแบบข้าวตูแล้วคลุกถั่วดิบงาขาวงาดำดิบ
แล้วราดด้วยน้ำผึ้ง)
๙. หมูดิบนอนตอง คือ หมู ๓
ชั้น
ดิบ วางบนหางตองตานี
แล้ววางบนจานอีกทีหนึ่งสำหรับสังเวยพระครูพระพิราพหากจะไหว้ครูพระพิราพ
แต่ถ้าไม่ไหว้ก็ไม่ต้องมีหมูดิบ
๑๐. หมู ๓ ชั้นต้มนอนตอง
๑๑. เหล้าโรง
๑. ดอกไม้ ๗ สี
ใส่พานและแจกันประดับบูชา
(ปัจจุบันไม่ต้องถึง ๗
สี ก็ใช้ได้)
๒. ข้าวตอก ดอกไม้ (นิยมดอกมะลิหรือกุหลาบ)
๑ พาน
๓. ธูปหอม
๔. เทียนปิดทอง เทียนปิดเงิน
อย่างละ ๑ เล่ม หนัก ๙
บาทบ้าง ๖
บาทบ้าง ๔ บาทบ้างแล้วแต่งบประมาณ
พร้อมทั้งเทียนเล็กธรรมดา
ใช้จุดบูชาทั่วไป
๕. พวงมาลัยสำหรับคล้องมือหุ่นกระบอก
"พุทธะบูชามหาเตชะวันโต
ธัมมะบูชามหาปัญญะวัณโณ
สังฆะบูชามหาโภคะวะโท
ติโลกะเสฎฐัง อะภิปูชะยามิ"
"สัคเคกาเม.. ฯลฯ"
อาเหยก ไว้หางเปียเป็นเจ๊กพูดไทยไม่ชัด
เป็นตลกมีชื่อประจำตัวของนายเปียก
ประเสริฐกุล
ไอ้แกละ เป็นตัวตลกเด็ก
สมมุติเป็นลูกอาเหยก
นายฉุย-นายเฉื่อย เป็นตัวตลกไว้ผมทรงหลักแจว
ไอ้โหนก
เป็นตัวตลกทำหน้าผากให้ไหนกเป็นลักษณะพิเศษ
ไอ้แบน เป็นตัวตลกหัวแบน ฯลฯ