หลังจากที่ทรงสร้างหุ่นจีนขึ้นแล้ว
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญโปรดให้สร้างหุ่นไทยเรื่อง
"รามเกียรติ์" ขึ้นชุดหนึ่ง มีกลไกคล้ายหุ่นหลวงแต่ย่อขนาดลงให้สูงประมาณ
๑ ฟุตเท่าหุ่นจีน ลักษณะหุ่นมีหน้าตา
แขนขาครบ เคลื่อนไหวได้ทั้งหัว ข้อมือ
ข้อศอก และขา มีก้านไม้เสียบทะลุตัวหุ่นลงมาข้างล่าง
ภายในตัวหุ่นมีแกนเหล็กประกบกับไม้เป็นเครื่องให้ขยับหัว
และลำตัว มีเชือก ๑๖ เส้นร้อยต่อจากอวัยวะส่วนต่างๆลงมาที่แผ่นไม้เล็กๆซึ่งเจาะรูไว้
๑๖ รู แล้วมาคล้องกับห่วงวงแหวนสำหรับสอดนิ้วสวมเวลาเชิด
การเชิดใช้คนเชิด ๑ คนต่อหุ่น ๑ ตัว
หุ่นไทยกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขณะนี้มีจำนวน
๕๑ รายการ (๕๓ ตัว คือมี ๒ รายการเป็นหุ่นวานร
๒ตัวขับเกวียน และมีวัว ๒ ตัวเทียมเกวียน)
ชนิดของหุ่นมีทั้งเป็นไม้ และผ้า
มีหุ่นอยู่ตัวหนึ่ง มือทั้งสองข้างถือหางนกยูง
เครื่องแต่งกาย
และศีรษะหุ่นเป็นแบบผู้แสดงประเลง
(ประเลงเป็นการแสดงเบิกโรงของละครไทยถือกันว่าเพื่อป้องกันเสนียดจัญไร
ปัดรังควานหรือสิ่งชั่วร้ายที่จะมาทำให้เกิดอุปสรรคกับการแสดง
สันนิษฐานกันว่าลีลาท่าทางของการแสดงประเลงประดิษฐ์ขึ้นจากการปัดกวาดทำความสะอาดโรงของนายโรง)
ลักษณะหุ่นไทย
หุ่นไทยของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญนี้
เป็นเรื่อง "รามเกียรติ์" ทั้งหมด
มีทั้งพลยักษ์ พลลิง ตัวพระ ตัวนาง
ตัวกางกลด(กางร่ม) และยักษ์ลิงที่ขี่ม้า
แต่อีกหลายตัวเป็นม้าที่ไม่มีคนขี่
เช่นม้าอุปการ หรือที่เป็นตัวเหาะก็ทำเป็นหุ่นตัวนางทำท่าเหาะเหมือนอย่างท่าเหาะในภาพจิตรกรรมไทยประเพณี ตัวหุ่นทั้งหมดทำด้วยไม้เนื้อเบา
แกะเหลาเป็นรูปร่างคนตั้งแต่อกลงมาจนถึงสะโพก
ส่วนเอวเคลื่อนไหวไม่ได้เหมือนหุ่นหลวง
มีแขน ๓ ส่วน คือ จากต้นแขนถึงข้อศอกส่วนหนึ่ง
จากข้อศอกถึงปลายข้อมือส่วนหนึ่ง
และฝ่ามืออีกส่วนหนึ่ง นิ้วมือของหุ่นนี้กระดิกไม่ได้เหมือนหุ่นหลวง
แต่ทำนิ้วติดกันเหมือนมือที่กำลังตั้งวงรำ
กระดกได้ทั้งมือ ส่วนขามี ๒
ส่วน คือ
จากต้นขาถึงเข่าส่วนหนึ่ง และจากเข่าถึงปลายเท้าอีกส่วนหนึ่ง
ทั้งหมดนี้ทำด้วยไม้เนื้อเบาที่เหลาแกะให้เป็นรูปร่างแล้วจึงเจาะเป็นรูตลอดลำ
เพื่อร้อยเชือกเส้นเล็กๆสำหรับบังคับให้หุ่นเคลื่อนไหว
สายชักทั้งหมดจะรวมกันออกที่ก้นของหุ่น
มีไม้เป็นแกนเสียบเข้าไปทางก้นหุ่นสำหรับจับเชิด
๑ คัน และมีแกนไม้อันเล็กๆสำหรับเสียบคอหุ่น
บังคับให้หันไปหันมาได้อยู่ข้างๆอีก
๑ คัน ที่แกนไม้อันแรกมีแป้นติดไว้เป็นโลหะหรือไม้แบนๆชิ้นเล็กๆเจาะรูไว้
๑๖ รู สำหรับเสียบแกนคอ และสายชักทุกสายให้ลงมาผ่านแป้นที่เจาะรูไว้
โดยปลายสายทุกสายจะมีห่วงวงแหวนขนาดนิ้วคนสอดเข้าไปในห่วงเพื่อชักเชิดให้หุ่นเคลื่อนไหว
ทั้งแกนไม้และสายชักทั้งหมดนี้จะมีผ้าดำบางเย็บเป็นปลอกคลุมตลอดทั้งอันเพื่อบังสายตาคนไม่ให้เห็นกลไกในการเชิดหุ่น
ศีรษะหุ่นทุกตัวจะมีน้ำหนักเบามาก
คงแกะด้วยไม้เนื้อเบาเช่นเดียวกับตัวหุ่น
ลวดลายกระจัง และเครื่องประดับศีรษะ
เช่น ชฎา และจอนหูล้วนเป็นอันเล็กๆ
ปิดทองประดับกระจกเกรียบอันเล็กๆ
หน้ายักษ์ หน้าลิง หน้าพระ จะเขียนสีมีเส้นทองฮ่ออย่างหัวโขน
แต่ไม่ได้ทำสวมศีรษะแบบหัวโขน หากทำสีไปตามพงศ์ทั้งตัว
คือ เขียนสีมาถึงคอ มือ และขาของตัวหุ่น
ส่วนหน้าพระ หน้านางที่เป็นหน้ามนุษย์
ไม่ได้เขียนเส้นฮ่ออย่างหน้าพระนางของหัวโขนหรือหุ่นหลวง
แต่ทำผิวสีนวลจันทร์ (สีจันทร์อ่อน)
แล้วเขียนสีเป็นเส้นคิ้ว เส้นตา และปากด้วยสีบางๆ
ล้อด้วยเส้นทองเส้นเล็กๆ
เครื่องแต่งกายของหุ่นนี้ปักด้วยเลื่อมเงินเลื่อมทองขนาดเล็ก
จุกด้วยลูกปัดแก้วสี และมีไหมทองตรึงเป็นลวดลายล้อมไปรอบๆเลื่อมอยู่ตามชายไหว
ชายแครง ผ้ารัดสะเอว สนับเพลา และผ้าห่มนาง
ที่น่าสังเกตคือจะมีแถบ นมสาว ขนาดเล็กทำด้วยแผ่นเงินพับขัดกันไปมาตรึงล้อไปตามขอบของชายไหว
ชายแครง อินทรธนู และเครื่องแต่งกายแทบทุกชิ้น
โดยไม่ปรากฏว่าจะใช้ดิ้นโปร่งอย่างที่ใช้ปักชุดโขนละครจริงๆใช้เลย
การชักเชิดหุ่นของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญนี้
จากการสันนิษฐานคาดว่าผู้เชิดคงต้องชูหุ่นเหล่านี้ไว้เหนือศีรษะ
เพราะแกนไม้ที่เสียบหุ่นมีขนาดยาว
และแป้นที่เจาะรูก็คงอยู่ระดับสายตาผู้เชิด
จะได้บังคับสายที่ร้อยผ่านรูของแป้นให้หุ่นเคลื่อนไหวได้ดังใจ
โดยคงจะเชิดคนหนึ่งต่อหุ่น ๑ ตัวเพราะกลไกต่างๆก็สามารถทำให้หุ่นขยับได้ทั้งตัวอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม
ไม่มีหลักฐานอันใดได้บันทึกไว้ว่าหุ่นไทยของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญได้เคยแสดงกี่ครั้ง
และเนื่องในโอกาสใดบ้าง อาจจะสร้างขึ้นแล้วยังไม่เคยนำออกแสดงเลยก็เป็นได้
เนื่องจากกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญได้เสด็จทิวงคตเสียก่อนเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๒๙